กองทุนลดหย่อนภาษี คือหนึ่งในหลายรายการลดหย่อนภาษีที่จะช่วยให้ประชาชนประหยัดภาษี และการลงทุนในกองทุนยังมีผลตอบแทนจากเงินลงทุน จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ควรศึกษาถึงรายละเอียดของกองทุนต่าง ๆ ให้เข้าใจ เพื่อการวางแผนการลงทุน และวางแผนภาษีไปพร้อม ๆ กัน โดยในวันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับกองทุนที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ว่า มีกองทุนอะไรบ้าง และหักลดหย่อนได้เท่าไหร่ เพื่อความคุ้มค่าสูงสุดในทุกแผนการเงินที่คุณใช้ออกแบบชีวิต
ทำความรู้จักกองทุนลดหย่อนภาษี พร้อมเงื่อนไขการหักลดหย่อนที่ถูกต้อง
กองทุนลดหย่อนภาษีมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อต้องการกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ไปพร้อม ๆ กับการช่วยแบ่งเบาภาระของผู้มีรายได้ ซึ่งทำให้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในจำนวนที่ลดลง เพื่อให้ผู้มีรายได้มีเงินเหลือมากขึ้นและรู้สึกว่า หน้าที่การชำระภาษีไม่ได้เป็นภาระที่ต้องหนักใจ โดยกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีมีอยู่หลายกองทุนด้วยกัน
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund (PVD) คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างได้จัดตั้งขึ้นมาด้วยความยินยอมของทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัวลูกจ้างว่า ลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมหลังจากเกษียณ ทุพพลภาพ หรือในกรณีที่เสียชีวิต มีเงื่อนไขการหักลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
เป็นการออมเพื่อการเกษียณสำหรับข้าราชการ เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบำเหน็จบำนาญ เป็นการตอบแทนข้าราชการที่ทำงานเพื่อประชาชน ให้ได้มีเงินใช้จ่ายเมื่อต้องเกษียณอายุจากราชการ มีเงื่อนไขการหักลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
เป็นกองทุนที่ช่วยเหลือครูโรงเรียนเอกชน ให้มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ค่าเทอมบุตร สินเชื่อสวัสดิการ และเงินทุนสำหรับเลี้ยงชีพ มีเงื่อนไขหักลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
เป็นกองทุนลดหย่อนภาษีที่เป็นหน่วยงานของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจใด ๆ การจัดตั้งกองทุนเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ต้องการส่งเสริมการออมของสมาชิก และเป็นหลักประกันให้กับสมาชิกว่า จะมีเงินสะสมสำหรับใช้จ่ายเมื่อสิ้นสภาพการเป็นสมาชิก ส่วนเงื่อนไขสำหรับใช้หักลดหย่อนภาษี คือ สามารถหักได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท โดยการเป็นสมาชิกกองทุนนี้จะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมขึ้นมา นั่นคือผู้ที่จะเป็นสมาชิกต้องไม่เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม (ยกเว้นในส่วนของผู้ประกันตนมาตรา 40 (1)) ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. และไม่ได้เป็นสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) หรือกล่าวง่าย ๆ ว่า กองทุนการออมแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาชนคนไทยที่ประกอบอาชีพอิสระนั่นเอง
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ Retirement Mutual Fund (RMF) คือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนคนไทยได้ออมเงินเพื่อการเกษียณโดยเฉพาะ โดยมีเงื่อนไขหลักคือ ต้องถือครองการลงทุนเป็นระยะเวลา 5 ปี และจะต้องมีอายุครบ 55 ปี จึงจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนเพื่อนำผลตอบแทนมาใช้จ่ายยามเกษียณได้ โดยผู้ลงทุนจะสามารถนำยอดซื้อกองทุนไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ Super Saving Fund (SSF) คือ กองทุนรวมเพื่อการออมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนชาวไทยได้ออมเงินระยะยาว โดยผู้ลงทุนจะต้องถือครองกองทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี นอกจากนี้ยังเป็นกองทุนลดหย่อนภาษี ที่ผู้ลงทุนสามารถนำยอดเงินที่ซื้อกองทุนมาหักลดหย่อนได้ตามจริงไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
โปรดระวังก่อนซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี เพราะมีจำนวนสูงสุดที่ต้องคำนวณด้วย
สำหรับผู้ที่กำลังลังเลว่า จะซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีตัวไหนดี และอาจจะอยากซื้อตามจำนวนสูงสุดที่คำนวณได้ของแต่ละกองทุนเลย มีอีกเงื่อนไขสำคัญที่ต้องทราบก็คือ การลดหย่อนภาษีด้วยการออมและกองทุนประหยัดภาษี เมื่อนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ การออมและกองทุนเพื่อการเกษียณทั้งหมดที่ลงทุนมารวมกัน ยอดสูงสุดที่ลดหย่อนได้ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้นหากใครมีกองทุนประเภทใดอยู่แล้ว ก็ต้องนำมาคำนวณก่อนที่จะซื้อเพิ่มด้วย เพื่อให้คุณสามารถประหยัดภาษีได้สูงสุด และคุ้มค่าที่สุด
จะเห็นได้ว่า กองทุนลดหย่อนภาษีจัดตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ทั้งช่วยสะสมผลตอบแทน และช่วยลดหย่อนภาษีไปพร้อมกัน ดังนั้นเมื่อคุณได้รับสิทธิพิเศษดังที่กล่าวมานี้ คุณไม่ควรละเลยหน้าที่การยื่นแบบภาษีและการชำระภาษี เพราะหากละลายจะทำให้คุณได้รับโทษทั้งเบี้ยปรับและอาจถึงกับต้องจำคุก โดยที่คุณอาจกระทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์